วิธีดำเนินการวิจัย
ในการดำเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษโดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. แบบแผนการวิจัย
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
4. รูปแบบของการวิจัย
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
6. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
7. เอกสารอ้างอิง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ขอบเขตประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
1.2 กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/13 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย จำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 34 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ขอบเขตของตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ
2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
2.2.1 ความสามารถในการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ
2.2.2 ความพึงพอใจต่อวิธีการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ แบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
3. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
การวิจัยในครั้งนี้ใช้เวลาในการทดลองทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง รวม 6 สัปดาห์ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554
แบบแผนการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pretest-Posttest Design) (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543: 60-61) มีรายละเอียดดังนี้
T1 X T2
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการทดลอง
T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน
X แทน การสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษโดยวิธีการ
สอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
T2 แทน การทดสอบหลังเรียน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. ลักษะของเครื่องมือ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ จำนวน 8 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 24 ชั่วโมง
1.2 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบ ปรนัย 4 ตัวเลือก ใช้วัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ ก่อนและหลังเรียน
1.3 แบบวัดความสามารถด้านการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ เป็นแบบทดสอบข้อเขียนที่นักเรียนจะต้องเขียนสรุปใจความจากเรื่องที่อ่าน ใช้วัดความสามารถในการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษจากเรื่องที่อ่าน ก่อนและหลังเรียน
1.4 แบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ
2. วิธีการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ในการสร้างเครื่องมือวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้แบ่งเครื่องมือออกเป็น 4 ชนิด และดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
2.1 แผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษโดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ มีขั้นตอน ดังต่อไปนี้
2.1.1 ศึกษาสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 3 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง หลักการ ทฤษฎีและแนวคิดในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและขอบข่ายสาระการเรียนรู้ด้านการอ่านตามหลักสูตรพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
2.1.2 ศึกษารูปแบบกิจกรรมการสอนอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ให้มีความยากง่ายของบทอ่านเหมาะสมกับระดับความสามารถของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2.1.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ จำนวน 8 แผน รวมทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง
2.1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เพื่อพิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง แล้วนำกลับมาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นจึงนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางการสอนภาษาอังกฤษ 3 ท่าน พิจารณาตรวจสอบความเหมาะสม และความสอดคล้องของจุดประสงค์การเรียนรู้กับกิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล ตามกรอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาลงความเห็นและให้คะแนนดังนี้ (สุวิมล ติรกานันท์, 2548: 148)
ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อเห็นว่าเหมาะสมและสอดคล้อง
ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าเหมาะสมและสอดคล้อง
ให้คะแนนเป็น -1 เมื่อแน่ใจว่าไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้อง
หลังจากนั้น นำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) ให้ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00
2.1.5 ทำการปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญและเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบอีกครั้ง
2.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร และบันทึกอุปสรรคและปัญหาระหว่างเรียน
2.1.7 นำอุปสรรคและปัญหามาทำการปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ให้สมบูรณ์แล้วดำเนินการทดลองจริงกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป
ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ สรุปได้ดับภาพที่ 2
1. ศึกษาสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 3 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง หลักการ ทฤษฎีและแนวคิดในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
2. ศึกษารูปแบบกิจกรรมการสอนอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
ให้มีความยากง่ายของบทอ่านเหมาะสมกับระดับความสามารถของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
3. สร้างแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ
เอส คิว โฟร์ อาร์ จำนวน 8 แผน รวมทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง
4. นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข และให้ผู้เชี่ยวชาญทางการสอนภาษาอังกฤษ 3 ท่านเพื่อพิจารณาตรวจสอบหาค่า IOC ซึ่งมีค่าคะแนนตั้งแต่ 0.67 ขึ้นไป
5. ทำการปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญและเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบอีกครั้ง
6. นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อบันทึกอุปสรรคและปัญหาระหว่างเรียน
7. นำอุปสรรคและปัญหามาทำการปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ให้สมบูรณ์แล้วดำเนินการทดลองจริงกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
ภาพที่ 2 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
2.2 แบบทดสอบวัดความสามารด้านการอ่านภาษาอังกฤษ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
2.2.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล และแนวทางในการสร้างข้อสอบของกิ่งแก้ว อารีรักษ์ (2546: 1-160) ชวาล แพรัตกุล (2520: 125-138) และอัจฉรา
วงศ์โสธร (2539: 74-208)
2.2.2 วิเคราะห์เนื้อหา ตัวชี้วัด และมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
2.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เป็นแบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก
2.2.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ระหว่างข้อคำถาม กับ ตัวชี้วัด พร้อมกับแก้ไข ปรับปรุงแบบทดสอบตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์
2.2.5 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) ความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) และความเหมาะสมด้านการใช้ภาษา เพื่อหาความดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Item Objective Congruence Index: IOC) และพิจารณาให้คะแนนดังนี้
+1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องกับจุดประสงค์
0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องกับจุดประสงค์
-1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามไม่สอดคล้องกลับจุดประสงค์
ให้ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อสอบตั้งแต่ .67 ขึ้นไป
2.2.6 นำแบบทดสอบที่ผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องไปปรับปรุงแก้ไข แล้วนำไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร เพื่อหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของข้อสอบแต่ละข้อ คัดเลือกข้อสอบไว้จำนวน 30 ข้อ ให้ได้ค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง .20-.80 และ ค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ .20 ขึ้นไป
2.2.7 หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษทั้งฉบับ โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson)
2.2.8 ได้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ มีขั้นตอนดังภาพที่ 3
1. ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล และแนวทางในการสร้างข้อสอบ
2. วิเคราะห์เนื้อหา ตัวชี้วัด และมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
3. สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เป็นแบบปรนัย ชนิด 4
3. สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เป็นแบบปรนัย ชนิด 4
4. นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ระหว่างข้อคำถาม พร้อมกับปรับปรุง แก้ไข
5. นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา ความตรงตามโครงสร้าง และความเหมาะสมด้านการใช้ภาษา เพื่อหาความดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์
5. นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา ความตรงตามโครงสร้าง และความเหมาะสมด้านการใช้ภาษา เพื่อหาความดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์
6. นำแบบทดสอบที่ผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องไปปรับปรุงแก้ไข แล้วนำไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ
7. หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษทั้งฉบับ โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson)
แทน คะแนนความแปรปรวนของแบบทดสอบ
8. ได้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้กับนักเรียน
กลุ่มตัวอย่าง
ภาพที่ 3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร อาร์
2.3 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการเขียนสรุปใจความ
การสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
2.3.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับแบบประเมินความสามารถด้านการเขียนสรุปใจความ เป็นแบบประเมินงานเขียนสรุปใจความจากบทอ่านที่ใช้ทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษหลังการเรียนแต่ละแผน จำนวนเรื่องทั้งหมด 8 เรื่อง โดยใช้เกณฑ์การประเมินจากงานวิจัยของ รีนฮาร์ท (Rinehart, 1986)
2.3.2 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านตรวจ แล้วนำคะแนนมาหาค่าเฉลี่ย จึงเป็นคะแนนของนักเรียนแต่ละคน โดยเกณฑ์ผ่านคือร้อยละ 60 ซึ่งผู้วิจัยนำเกณฑ์ประเมินนี้ให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้องและให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง
เกณฑ์การให้คะแนนความสามารถในการเขียนสรุปใจความ มีดังต่อไปนี้
2.3.2.1 ด้านใจความสำคัญ
- มีใจความสำคัญครบถ้วนสมบูรณ์ 4 คะแนน
- มีใจความสำคัญครบถ้วนเกือบสมบูรณ์ 3 คะแนน
- มีใจความสำคัญแต่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ 2 คะแนน
- มีใจความสำคัญน้อยมาก 1 คะแนน
- ไม่มีใจความสำคัญเลย 0 คะแนน
2.3.2.2 ด้านใจความสนับสนุนสำคัญ
- มีใจความสนับสนุนสำคัญสอดคล้องกับใจความ
สำคัญ และไม่มีรายละเอียดที่ไม่สำคัญ 4 คะแนน
- มีใจความสนับสนุนสำคัญสอดคล้องกับใจความ
สำคัญ แต่มีรายละเอียดที่ไม่สำคัญ 3 คะแนน
- มีใจความสนับสนุนที่ไม่ค่อยสำคัญหรือเป็นราย
ละเอียดบ้าง แต่สอดคล้องกับใจความสำคัญ 2 คะแนน
- มีใจความสนับสนุนที่ไม่ค่อยสำคัญ และไม่สอด
คล้องกับใจความสำคัญ 1 คะแนน
- ไม่มีใจความสนับสนุนสำคัญ มีแต่รายละเอียดที่
ไม่สอดคล้องกับใจความสำคัญ 0 คะแนน
2.3.2.3 การไม่กล่าวซ้ำ
- ไม่มีประโยคหรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อน 4 คะแนน - ไม่มีประโยคหรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อน
หรือมีน้อยมาก 3 คะแนน
- มีประโยคหรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อนอยู่บ้าง 2 คะแนน - มีประโยคหรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อนอยู่ค่อน
ข้างมาก 1 คะแนน - มีประโยคหรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อนมากมาย 0 คะแนน
2.3.2.4 การแต่งประโยคใหม่
- แต่งประโยคขึ้นเองทั้งหมด โดยที่มีความหมาย
ถูกต้อง ไม่มีประโยคที่ลอกมาจากบทอ่านเลย 4 คะแนน
- แต่งประโยคขึ้นเองทั้งหมด โดยที่มีความหมาย
ถูกต้อง มีประโยคที่ลอกมาจากบทอ่านบ้าง 3 คะแนน
- แต่งประโยคขึ้นเองบ้าง แต่ความหมายไม่ค่อย
สมบูรณ์ หรือไม่ได้ลอกมาจากบทอ่านทั้งหมด
แต่มีบางส่วนที่เหมือนกับบทอ่านบ้าง 2 คะแนน
- แต่งประโยคขึ้นเองบ้างแต่ความหมายไม่สมบูรณ์
มีประโยคที่ลอกมาจากบทอ่านมาก 1 คะแนน
- เขียนประโยคคล้ายกัน วกวนไปมา ไม่มีประโยคที่
แต่งขึ้นเองเลย หรือลอกประโยคจากบทอ่านทั้งหมด 0 คะแนน
2.3.2.5 ด้านความถูกต้องตามหลักภาษาและการใช้เครื่องหมายวรรคตอน
- ประโยคที่แต่งถูกต้องตามหลักภาษา มีความ
บกพร่องน้อยมาก เช่น การใช้ Tense การใช้คำหน้า
ที่ต่าง ๆ ในประโยคถูกต้อง หรือผิดน้อยมาก การใช้
เครื่องหมายวรรคตอนถูกต้องหรือบกพร่องน้อยมาก 4 คะแนน
- ประโยคที่แต่งถูกต้องตามหลักภาษา มีความ
บกพร่องบ้าง เช่น การใช้ Tense การใช้คำหน้าที่
ต่าง ๆ ในประโยคและการใช้เครื่องหมายวรรคตอน
บกพร่องอยู่บ้าง 3 คะแนน
- ประโยคที่แต่งไม่ค่อยถูกตามหลักภาษา บกพร่อง
ในการใช้ Tense หรือ หน้าที่ของคำต่าง ๆ ในประโยค
แต่พอสื่อความหมายได้บ้าง การใช้เครื่องหมาย
วรรคตอนต่าง ๆ บกพร่องบ้าง 2 คะแนน
- ประโยคที่แต่งไม่ถูกต้องตามหลักภาษา แต่สามารถ
สื่อสารได้บ้าง การใช้หน้าที่ของคำในประโยคและ
การใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ บกพร่องมาก 1 คะแนน
- ประโยคที่แต่งไม่ถูกต้องตามหลักภาษา และไม่
สามารถสื่อความหมายได้ ไม่มีการใช้เครื่องหมาย
วรรคตอนที่ถูกต้อง 0 คะแนน
2.4 แบบวัดเจคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ มีขั้นตอน ดังต่อไปนี้
2.4.1 ศึกษาวิธีการสร้างและวิเคราะห์เครื่องมือประเภทแบบวัดเจตคติต่อการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษของ ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ (2543: 1-115) และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.4.2 สร้างแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษโดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ กำหนดเป็นมาตราส่วนประมาณค่าตามแบบวัดของ ลิเคิร์ท (Likert Scale) โดยสร้างให้มีข้อกระทงทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งเป็นข้อกระทงที่แสดงถึงความคิด ความรู้สึก หรือการกระทำที่ตรงกับตนเองมากที่สุดต่อกิจกรรมการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ โดยมีตัวเลือก 5 ระดับ ตามความคิดเห็น คือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
เกณฑ์การแปลผลคะแนนของแบบวัดเจตคติ คือ
2.4.2.1 ข้อความที่แสดงความคิดเห็นในแง่บวก
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 5 คะแนน
เห็นด้วย ให้ 4 คะแนน
ไม่แน่ใจ ให้ 3 คะแนน
ไม่เห็นด้วย ให้ 2 คะแนน
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 1 คะแนน
2.4.2.2 ข้อความที่แสดงความคิดในแง่ลบ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 1 คะแนน
เห็นด้วย ให้ 2 คะแนน
ไม่แน่ใจ ให้ 3 คะแนน
ไม่เห็นด้วย ให้ 4 คะแนน
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 5 คะแนน
2.4.3 นำแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบแก้ไข แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน พิจารณาความเที่ยงตรงเนื้อหาและความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง ตลอดจนความชัดเจนทางภาษา เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบกับวัตถุประสงค์
2.4.4 คัดเลือกข้อคำถามในแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ที่ได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว จำนวน 20 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00
2.4.5 นำแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ฉบับสมบูรณ์ใช้กับกลุ่มตัวอย่าง
ขั้นตอนในการสร้างแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ มีขั้นตอนดังภาพที่ 5
1. ศึกษาวิธีการสร้างและวิเคราะห์เครื่องมือประเภทแบบวัดเจตคติต่อการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ จากเอกสาร ตำรา เกี่ยวกับการวัดเจตคติ
2. สร้างแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษโดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ กำหนดเป็นมาตราส่วนประมาณค่าตามแบบวัดของ ลิเคิร์ท (Likert Scale)
3. นำแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบแก้ไข แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน พิจารณาความเที่ยงตรงเนื้อหา
4. คัดเลือกข้อคำถามในแบบวัดเจตคติ ที่ได้รับการตรวจสอบปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว จำนวน 20 ข้อ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00
5. นำแบบวัดเจตคติฉบับสมบูรณ์ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยหลังได้รับการสอน โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
ภาพที่ 5 ขั้นตอนในการสร้างแบบวัดเจตคติต่อากรสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นำเนินการศึกษาความสามารถในการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองด้วยตนเองและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. ขั้นเตรียมเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยขั้นตอนที่ใช้ในการดำเนินงานเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้
1.1 เลือกกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/13 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 จำนวนนักเรียน 34 คน โดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
1.2 จัดตารางเรียนและระยะเวลาในการทดลองสอน โดยได้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ภายในระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง
1.3 ปฐมนิเทศนักเรียน ชี้แจงผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและข้อตกลงเกี่ยวกับกิจกรรมการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ พร้อมวิธีวัดและประเมินผล
2. ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล
2.1 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ จำนวน 30 ข้อ และแบบทดสอบความสามารถในการเขียนสรุปใจความก่อนดำเนินการทดลองสอน 60 นาที
2.2 ดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ตามแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
จำนวน 8 แผน ภายในระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง
2.3 เมื่อผู้วิจัยดำเนินการทดลองครบตามแผนการจัดการเรียนรู้ การสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ใช้เวลา 60 นาที
2.4 นำแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ให้นักเรียนเลือกแสดงเจตคติต่อข้อความในแบบวัดเจตคติ
2.5 ตรวจให้คะแนนและนำคะแนนที่ได้จากแบบวัดความสามารในการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ รวมทั้งแบบวัดเจตคติที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อใช้ในการสรุปและอภิปรายผลการทดลอง
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้นำผลคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ และผลคะแนนจากแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้
1. ลำดับขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้
1.1 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน
1.2 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
2.1 สถิติพื้นฐานใช้หาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviaiton)
2.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ มีดังนี้
2.2.1 หาค่าความยากง่าย (P) ของแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543: 129)
P = R/N
เมื่อ P แทน ค่าความยากง่ายของคำถามแต่ละข้อ
R แทน จำนวนนักเรียนที่ทำข้อนั้นถูก
N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด
2.2.2 หาค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้สูตร (ณัฐพงษ์ เจริญพิทย์, 2542: 215)
r = Rh-Rl / N/2
เมื่อ r แทน ค่าอำนาจจำแนก
Rh แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มเก่ง
Rl แทน จำนวนนักเรียนที่ทำถูกในกลุ่มอ่อน
N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มเก่งและอ่อน 2.2.3 หาความเที่ยงตรง (Validity) ของแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ และแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) แต่ละข้อโดยใช้สูตร IOC หาค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด (สมนึก ภัททิยธนี, 2537: 112) คือ
+1 = แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง
0 = ไม่แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง
+1 = แน่ใจว่าไม่มีความสอดคล้อง
ใช้สูตร IOC = ซิกม่าR / N เมื่อกำหนดให้
เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์กับ เนื้อหา หรือระหว่าข้อสอบกับจุดประสงค์
ซิกม่าR แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด
N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด
2.2.4 หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่าน โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ – ริชาร์ดสัน (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ, 2538: 197-198)
Rtt =
เมื่อ rtt แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
n แทน จำนวนข้อสอบ
P แทน สัดส่วนของผู้ทำถูกในข้อหนึ่ง ๆ เท่ากับจำนวนคนที่ทำถูก หารด้วยจำนวนคนสอบทั้งหมด
q แทน สัดส่วนของผู้ทำผิดในข้อหนึ่ง ๆ หรือ 1 – P
โดย =
เมื่อ แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง
N แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด
2.3 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังเรียน โดยใช้ t-test แบบ Dependent – Samples โดยวิธีคำนวณจากโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows)
3. เกณฑ์การแปลผลคะแนนแบบวัดเจตคติ
คะแนนแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ของนักเรียน มีเกณฑ์ในการแปลผลคะแนน ดังนี้
ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00 แปลความว่า มีเจตคติระดับดี
ค่าเฉลี่ย 3.50 – 4.49 แปลความว่า มีเจตคติระดับค่อนข้างดี
ค่าเฉลี่ย 2.50 – 3.49 แปลความว่า มีเจตคติระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.50 – 2.49 แปลความว่า มีเจตคติระดับค่อนข้างไม่ดี
ค่าเฉลี่ย 0.50 – 1.49 แปลความว่า มีเจตคติระดับไม่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น