“คเวสนา ปรมา วิชชา”
การวิจับนำมาซึ่งยอดแห่งความรู้
(Research
leads to the summit of knowledge)
(สุชาติ โสมประยูร และวรรณี โสมประยูร,2547 : 81)
ในการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์หรือสัตว์
เป็นประเด็นที่มีความยุ่งยากและความซับซ้อนในการแสวงหาข้อค้นพบเพื่อที่นำมาใช้ในการบรรยาย
อธิบาย คาดคะเน หรือควบคุมมนุษย์หรือสัตว์ให้เกิดพฤติกรรมตามที่ต้องการ
ดังนั้นมนุษย์จำเป็นจะต้องมี “วิธีการ” ที่จะนำมาใช้แสวงหาข้อมูลที่นำมาพิจารณาวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่าเพื่อหาข้อสรุป/องค์ความรู้ร่วมกัน
โดยที่ “วิธีการ” ในการแสวงหาความรู้ความจริงของมนุษย์ได้มีวิวัฒนาการต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานโดยเริ่มต้นจากวิธีการที่ไม่มีระบบชัดเจน
อาทิ การเชื่อไสยศาสตร์, การเชื่อผู้มีอำนาจ/หมอผี หรือการลองผิดลองถูก เป็นต้น จนกระทั่งได้ก้าวเข้าสู่ในปัจจุบันที่มนุษย์ได้พัฒนา
“วิธีการ” ที่ค่อนข้างจะเป็นระบบที่ชัดเจน
โดยได้นำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ทุกขั้นตอน
โดยที่เรียก “วิธีการ” นั้นว่า “การวิจัย (Research)”
ในปัจจุบัน “การวิจัย” เป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการและบุคคลทั่วไปในนานาอารยประเทศว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการนำมาใช้ดำเนินการแสวงหาข้อมูลหรือองค์ความรู้ตามจุดมุ่งหมายได้อย่างถูกต้อง
แม่นยำ และมีความน่าเชื่อถือ และสามารถที่จะนำผลการวิจัยที่ได้รับไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาได้อย่างสอดคล้องความต้องการอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะในวงการศึกษาที่มีความเชื่อว่า
“การวิจัย” เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยได้กำหนดให้บัณฑิตในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
(แผน ก) ที่จะสำเร็จการศึกษาจะต้องปฏิบัติการวิจัย (งานวิทยานิพนธ์)
ที่เป็นส่วนหนึ่งของการได้รับปริญญาในการศึกษาระดับมหาบัณฑิตหรือดุษฎีบัณฑิต
และในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 30 ได้กำหนดว่าการปฏิบัติงานในวิชาชีพครูให้ครูผู้สอนได้ใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
1. ความหมายของวิธีการทางวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ (Science) หมายถึง
ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากการประจักษ์ทางธรรมชาติ แล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ
(ราชบัณฑิตยสถาน,2546 : 1075) โดยที่วิทยาศาสตร์จะมีความแตกต่างจากสามัญสำนึก
(Common Sense) (สิน พันธุ์พินิจ,2547:17 ;
Kerlinger,1986 : 3-5)
ดังแสดงในตารางที่ 1.1
ตารางที่ 1.1 ความแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์กับสามัญสำนึก
ลักษณะ
|
วิทยาศาสตร์
|
สามัญสำนึก
|
การเป็นระบบ
|
มีระเบียบแบบแผนตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์
|
ใช้ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
|
การทดสอบทฤษฎีและสมมติฐาน
|
ทดสอบอย่างเป็นระบบและเชิงประจักษ์
|
ใช้ความนิยมเป็นเกณฑ์
|
การควบคุม
|
มีการควบคุมปรากฏการณ์หรือตัวแปร
|
ใช้ความคิดของตนเอง
|
การอธิบายปรากฏการณ์
|
อธิบายด้วยความระมัดระวังโดยใช้หลักความเป็นจริง
|
อ้างเหตุผลไม่ชัดเจน
|
การศึกษาความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์
|
มีระบบที่ชัดเจน มีการควบคุมทั้งสาเหตุและเหตุผล
|
ไม่มีระบบและการควบคุมตามทฤษฎี
|
ที่มา : Kerlinger,1986 : 5
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific
Method) เป็นวิธีการแสวงหาความรู้อย่างมีระเบียบแบบแผน
มีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นระบบ
มีการทดสอบข้อเท็จจริงใหญ่และข้อเท็จจริงย่อยมากกว่าการสมมติให้เป็นความจริง
เป็นวิธีการที่จอห์น ดิวอี้ พัฒนาจากวิธีการนิรนัยของอริสโตเติล
และวิธีอุปนัยของ ฟรานซิส เบคอน แล้วจดบันทึกในหนังสือ “มนุษย์คิดอย่างไร
(How We Think)” ที่ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน
ดังนี้ (Kerlinger,1986 : 11-13 : Best and Kahn,1998 : 5)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น