บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้
การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก นำมาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับ
ประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น และมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 2)
ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้
การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก นำมาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับ
ประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น และมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 2)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อ ในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ ภาษาเพื่อการสื่อสาร การใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง พูด อ่าน เขียน แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ นำเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม ภาษาและวัฒนธรรม การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาความสัมพันธ์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับวัฒนธรรมไทย และนำไปใช้อย่างเหมาะสม ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยง
ความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เป็นพื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตนภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก การใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ ประกอบอาชีพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 2)
การอ่านมีบทบาทสำคัญมากในสังคมปัจจุบัน เพราะทุกคนต้องพยายามค้นคว้าหาความรู้จากการอ่านหนังสือ ตำรา จุลสาร และนิตยสารต่าง ๆ เพื่อรับรู้ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้การอ่านยังให้ความเพลิดเพลินใจด้วย แม้แต่ในโรงเรียน ความรู้ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการอ่าน ดังนั้นในโรงเรียนส่วนมากจึงมุ่งที่จะพัฒนาความเข้าใจในการอ่านของนักเรียน (Meyer and other, 1980: 73) และ Harris & Sipay (1990) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านว่าในโลกปัจจุบันซึ่งมีเทคโนโลยีทันสมัยนั้น ความสามารถในการอ่านยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากอาชีพต่าง ๆ ต้องการผู้ที่มีการศึกษาหรือการฝึกฝนเชี่ยวชาญเฉพาะทางในระดับสูงขึ้น ผู้ที่มีความสามารถในการอ่านสูงก็จะได้เปรียบ เพราะได้ใช้ทักษะนี้แสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับนักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษทั่วโลกมากกว่าทักษะอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ เพราะมีโอกาสพูดภาษาอังกฤษน้อย และเมื่อเขาจบการศึกษาออกไปแล้วไม่ได้พบปะกับชาวต่างประเทศ แต่พวกเขาก็สามารถอ่านหนังสือที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ (Lutoslawska, 1975:196) ดังนั้นการอ่านจึงเป็นทักษะที่นักเรียนต่างประเทศต้องการ และจำเป็นต้องใช้มากที่สุด เมื่อจบการศึกษาแล้วการอ่านเป็นทักษะเดียวที่นักเรียนจะรักษาไว้ได้ตลอดไป (Pett, 1982: 17) ดังนั้น นักการศึกษา นักภาษาศาสตร์ และผู้สอนจำนวนมากจึงให้ความสำคัญของทักษะอ่านมากกว่าทักษะอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา การอ่านทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ช่วยปรับปรุงให้ผู้อ่านมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะจุดหมายปลายทางของการอ่านคือการพัฒนาคนไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด เมื่อประชาชนต่างเห็นความสำคัญของการอ่านและมีการอ่านมาก สังคมนั้นจะได้ประชากรที่มีประสิทธิภาพทั้งในแง่การดำเนินชีวิตและการทำงาน มีความรับผิดชอบสูงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปถึงการพัฒนาประเทศต่อไป ประเทศจะพัฒนาได้ย่อมต้องอาศัยความร่วมมือของคนในชาติ ถ้าคนในชาติขาดความรู้ย่อมทำให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาและปฏิบัติกิจการต่าง ๆ ดังนั้นการอ่านจึงเป็นวิธีที่จะช่วยพัฒนาตนเองได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ เสาวลักษณ์ รัตนวิชช์ (2541 : 85) ยังให้ความเห็นว่า การอ่านเป็นทักษะที่สามารถเชื่อมโยงบูรณาการกับทักษะทางภาษาอื่น ๆ ได้ง่ายกว่าด้านการฟัง การพูด และการเขียน เพราะผู้อ่านย่อมดึงเอาข้อมูลจากสิ่งที่อ่านเพื่อใช้ประโยชน์ในการสื่อสารกับผู้เขียนได้ ดังนั้นทักษะการอ่านจึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในระดับที่สูงขึ้น แม้วงการศึกษาจะมีการใช้สื่อทางการเรียนรู้ที่ทันสมัยมากมายเพียงใด แต่เมื่อเทียบกับการอ่านแล้วก็ยังมีความสำคัญน้อยกว่า เพราะการศึกษาหาความรู้ด้วยการอ่านเป็นวิธีทีสะดวกและทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เอกสารสำหรับการอ่านหาได้ง่าย ผู้อ่านจะใช้เวลาใดอ่านก็ได้ สำหรับคนที่รักการอ่านนอกจากจะทำให้มีความรู้ความสามารถด้านการตีความ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและหล่อหลอมให้เป็นคนรอบรู้แล้ว การอ่านยังนำความสุขมาสู่ผู้อ่านอีกด้วย
ทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน เป็นทักษะที่สำคัญของการใช้ภาษา สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทักษะที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้และการถ่ายทอดทางภาษาคือทักษะการอ่านและการเขียน เพราะการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเสาะแสวงหาความรู้ และใช้วิธีการอ่านที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้อ่านทุกคน การรู้จักฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้อ่านมีพื้นฐานในการอ่านที่ดี ทั้งจะช่วยให้เกิดความชำนาญและมีความรู้กว้างขวางด้วย การอ่านจึงเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนการสอนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นการที่นักเรียนจะเป็นผู้อ่านที่ดีจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ครูเป็นผู้จัดเตรียมให้อีกทั้งยังต้องผสมผสานกับความสนใจของผู้อ่านที่ดีจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ครูเป็นผู้จัดเตรียมให้อีกทั้งยังต้องผสมผสานกับความสนใจของผู้อ่านเพื่อเป็นแรงจูงใจที่จะช่วยให้นักเรียนได้อ่านอย่างสม่ำเสมอ (สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์, 2545: 2)
การอ่านช่วยให้ผู้เขียนปรับปรุงความสามารถในการเขียน ดังนั้นการอ่านจึงมีผลต่อการปรับปรุงการเขียนมากกว่าการฝึกเขียนตามโครงสร้างไวยากรณ์ (Stotsky, 1983) นอกจากนี้ จอห์นสัน (Johnson, 1986: 13) ได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการอ่านและการเขียน กับผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง โดยศึกษาว่าความรู้เดิม ประสบการณ์เดิม (Schema) ของผู้เรียนจะมีผลต่อความเข้าใจในการอ่านและการเขียนอย่างไร ซึ่งผลของการวิจัยปรากฏว่าความรู้เดิมในการอ่านจะทำให้เด็กมีความเข้าใจในการอ่านมากขึ้น และมีความคงทนในการจำดีขึ้นส่วนฮีตัน (Heaton, 1975: 138) กล่าวว่า การเขียนเป็นทักษะที่ซับซ้อนและสอนยาก เพราะนักเรียนจำเป็นต้องใช้ความรู้ ความสามารถด้านไวยากรณ์ และรู้ศิลปะการใช้ถ้อยคำสำนวนที่สละสลวย ตลอดจนพื้นฐานทางด้านวิจารณญาณและจินตนาการในการเขียน ผู้เขียนต้องมีความสามารถอย่างแท้จริง จึงจะสามารถเขียนข้อความได้ชัดเจนจนผู้อ่านเข้าใจได้ นอกจากนี้ ลาโด (Lado, 1976: 248) ได้ให้ความเห็นว่า การเขียนเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่มนุษย์ให้ในการสื่อความหมาย แสดงความคิดเห็น ตลอดจนความรู้สึก เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน และ วินการ์ด (Wingard, 1981: 143-145) ให้เหตุผลทางด้านจิตวิทยาและประโยชน์ใช้สอยของการเขียนว่า สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ด้วยการพึ่งตนเองในการเรียนรู้ การทราบผลทันทีมีส่วนช่วยการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่มักจะเป็นปัญหาในการสอนการเขียนก็คือ ผู้เรียนไม่สามารถคิดและเขียนออกมาได้ดังนั้นในการเขียน นักเรียนต้องนำความรู้ความสามารถในหลาย ๆ ด้านมาผสมผสานกัน ต้องเป็นผู้รู้จักอ่านและฟัง ประการสำคัญคือ รู้จักที่จะลำดับความคิด ความรู้ให้ต่อเนื่องกันอย่างมีเหตุผล
การเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศนั้น ผู้เรียนจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะทั้ง 4 ทักษะคือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อให้สามารถนำทักษะเหล่านี้ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าทักษะการเขียนจะถูกจัดไว้ในลำดับสุดท้าย อาจเป็นเพราะการเขียนจัดเป็นทักษะที่ยากที่สุด เรียบเรียงความคิด หรือการเลือกสรรคำถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือข้อความที่สามารถสื่อความหมายได้ตรงกับความต้องการ แม้ว่าทักษะการเขียนจะมีความยากในตัวเอง แต่ก็จำเป็นต้องมีการสอนทักษะการเขียน เนื่องจากการเขียนเป็นทักษะสำคัญและเอื้อประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างมาก ช่วยเสริมให้ผู้เรียนได้นำความรู้อื่น ๆ ในวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนมาใช้ เช่น การจดบันทึกย่อขณะฟัง หรือการถ่ายทอดประสบการณ์ นอกจากนี้การเขียนทำให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดอย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ ความนึกคิดและจินตนาการ ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้และพัฒนาภาษา (รัตนา มหากุศล, 2539 : 163)
การเขียนบันทึกเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการจดบันทึกความคิดของตนและทำให้ความคิดเหล่านั้นมีความชัดเจนยิ่งขึ้น นิสัยการเขียนบันทึกสะท้อนความคิดสนับสนุนผู้เรียนให้สร้างสมมติฐาน ตั้งคำถามและสร้างประสบการณ์ของตนให้มีคุณค่าและมีความหมายเมื่อรวมเอาข้อมูลหรือความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ จากนั้นจึงนำมาพัฒนาเป็นแนวคิดหรือองค์ความรู้ใหม่ของตน (Ballantyne & Packer, 1995) และผู้เรียนอาจจะเขียนสรุป หรือวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่เขาได้อ่าน เพื่อประโยชน์ต่อการจดจำ หรือเกิดความเข้าใจในเนื้อหานั้น เพื่อที่จะสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปเขียนรายงานหรือสรุป Donley (1975) กล่าวถึงการเขียนสรุปความว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะการเขียนสรุปความฝึกให้ผู้เรียนเขียนอย่างกะทัดรัด ได้ใจความ และตรงประเด็น นอกจากนั้นการเขียนสรุปความยังทำให้ผู้เรียนมีโอกาสอ่านบทอ่านนั้นซ้ำหลายครั้งได้ มีโอกาสคิดทบทวนหลายครั้งก่อนที่จะนำมาเขียนสรุป และอีกประการหนึ่งการจัดกิจกรรมการเขียนหลังการอ่านอย่างเหมาะสมมีส่วนช่วยในการพัฒนาการเรียนรู้ และส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านของผู้เรียนด้วย (Carr & Ogle, 1987)
กลวิธีการอ่านที่ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของผู้เรียนวิธีหนึ่ง ได้แก่ วิธีการอ่านแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ (SQ4R) ซึ่งประกอบด้วยขั้นต่าง ๆ ต่อไปนี้ คือ ขั้นสำรวจ (Survey) ขั้นตั้งคำถาม (Question) ขั้นอ่าน (Read) ขั้นบอกคำตอบอีกครั้ง (Recite) ขั้นเขียนสรุปใจความ (Write) และขั้นทบทวน (Review) กลวิธีนี้ได้พัฒนาขึ้นโดย Robinson, F.P., (1970) พัฒนามาจากการสอนแบบ SQ3R (Survey, Question, Read, Recite and Review) SQ4R นั้นเพิ่มขั้นตอนเขียน (Write) เพื่อเป็นการตรวจสอบความเข้าใจในรูปการเขียนสรุปใจความสำคัญออกมา เป็นวิธีการตรวจสอบความเข้าใจเรื่องที่อ่าน ซึ่งการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ นั้นมีแนวคิดมาจากทฤษฎีอภิปัญญา (Metacognitive Theory) เป็นเทคนิคการสอนอ่านที่เน้นพัฒนาทักษะการใช้ความคิดอย่างรู้ตัว (ผจงกาญจน์ ภู่วิภาดาวรรธน์, 2540) วิธีนี้ทำให้การอ่านบรรลุเป้าหมาย และช่วยสร้างนิสัยในการอ่านที่ดีและมีประสิทธิภาพ นอกจากการนำวิธีการสอนอ่านแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ มาใช้ในการสอนอ่านวิชาภาษาอังกฤษแล้วการสอนอ่านแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ยังช่วยพัฒนาทักษะการอ่านในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดีดังเช่น สนธญา พลีดี (2548: 5) กล่าวถึงผลการสอนด้วยวิธี เอส คิว โฟร์ อาร์ ที่นำมาใช้ทดลองในการสอนอ่านวิชาวิทยาศาสตร์ว่า การสอนอ่านวิชาวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ มีข้อดีคือ ช่วยฝึกทักษะการอ่าน ทำให้นักเรียนมีความเข้าใจในการอ่านได้ง่ายขึ้น สรุปแนวความคิดจากเรื่องที่อ่านได้ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง จดจำสิ่งที่อ่านได้ดีและมีความคงทนในการจำนอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนให้สูงขึ้นด้วย
การสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ เป็นการสอนที่ได้รับการพัฒนาโดยตั้งอยู่บนรากฐานของแนวคิดทางการเรียนการสอนภาษา คือ ทฤษฎีอภิปัญญา (Metacognitive Theory) ซึ่งอภิปัญญากับการอ่าน หมายถึง วิธีการหรือขั้นตอนที่จะทำให้การอ่านบรรลุตามเป้าหมายมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ ความตระหนักรู้และการควบคุมกลไกที่ใช้ในกระบวนการอ่านรวมถึงวิธีที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ เน้นให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบจนกว่าจะเข้าใจเรื่องที่อ่าน มีการควบคุมกระบวนการต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอนชัดเจน นอกจากนี้การสอนด้วยวิธี เอส คิว โฟร์ อาร์ ก็ยังส่งเสริมให้นักเรียนใช้ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจเรื่องที่อ่าน เพราะโครงสร้างความรู้มีหน้าที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาและเลือกข้อมูลที่ต้องการในการตอบคำถามและยังช่วยตีความเรื่องราวที่อ่านอีกด้วย หากมีข้อมูลบางส่วนหายไปการใช้โครงสร้างความรู้จะช่วยทบทวนข้อมูลจากความทรงจำของตนเองเพื่อทำให้เรื่องราวที่ขาดหายไปสมบูรณ์ขึ้น นอกจากนี้การใช้ความรู้เดิมมาทำความเข้าใจเรื่องที่อ่านนี้จะทำให้การเก็บข้อมูลในสมองมีความคงทนและมีการเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ หากมีความรู้เดิมเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านก็จะทำให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
เมื่อพิจารณาถึงกลวิธีที่ใช้ในการสอแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ จะเห็นได้ว่ากลวิธีนี้ช่วยส่งเสริมความเข้าใจในการอ่าน โดยการตั้งคำถาม จดบันทึก และเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่ตนได้อ่านออกมาเป็นคำพูดของตนเองได้แสดงว่าผู้อ่านสามารถเข้าใจเรื่องที่อ่าน เมื่ออ่านเข้าใจ นักเรียนก็น่าจะเขียนได้ด้วย ดังเช่นงานวิจัยของ Medver (1996) ได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์การอ่านกับการเขียน ผลการวิจัยพบว่า การอ่านมีความสัมพันธ์กับการเขียน และงานวิจัยที่ศึกษาถึงผลการสอนที่ให้นักเรียนตั้งคำถามเองพบว่ากลุ่มทดลองที่ได้รับการฝึกให้ตั้งคำถามเองมีผลสัมฤทธิ์ความเข้าใจในการอ่านสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการฝึกให้ตั้งคำถามเอง (Nolte & Singer, 1985; Davey & Mcbride, 1986; Wong & Jones, 1982) ผลของการฝึกให้นักเรียนตั้งคำถามเองยังสามารถส่งผลต่อการเขียนด้วย จากผลการวิจัยของ Weiner (1987) ที่พบว่าการฝึกตั้งคำถามเอง การจดบันทึก การสรุป นอกจากจะส่งผลดีต่อความเข้าใจในการอ่านแล้วยังส่งผลดีต่อการเขียนเรียงความ ซึ่งในการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ มีขั้นตอนให้นักเรียนตั้งคำถามเอง การหาใจความหลักและใจความสนับสนุนสำคัญและการบันทึก ก็น่าจะส่งผลดีต่อทักษะการเขียนย่อความได้เช่นกัน
จากการสำรวจข้อมูลผลการสอบอ่านและเขียนปลายภาคเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ปีการศึกษา 2552 ในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานพบว่านักเรียนมีความสามารถในการอ่านและการเขียนต่ำกว่าร้อยละ 50 มีจำนวนถึงร้อยละ 60 (โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร, 2552) สาเหตุมาจากนักเรียนรู้คำศัพท์น้อย ขาดทักษะในการใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้อง ไม่สามารถใช้โครงสร้างของภาษาเรียบเรียงประโยคเป็นข้อความได้อย่างมีความหมาย ใช้เครื่องหมายวรรคตอนไม่ถูกต้อง รวมทั้งขาดทักษะและเทคนิคในการอ่านเช่น การอ่านออกเสียง การอ่านในใจ การอ่านเพื่อความเข้าใจที่จะช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียน เช่น กลวิธีการอ่าน (strategy) ตามจุดประสงค์ของการอ่านได้แก่ การอ่านจับใจความ (skimming) การอ่านเพื่อหาใจความสำคัญ (main idea) การอ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ (scanning) การอ่านอย่างรวดเร็ว (extensive reading) เป็นการอ่านเพื่อความบันเทิงและจับใจความสำคัญของบทความ (intensive reading) เป็นการอ่านที่ทำความเข้าใจกับบทความทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ ถ้าผู้อ่านฝึกใช้กลวิธีต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมจะทำให้พัฒนาการอ่านได้เร็ว (ธูปทอง กว้างสวาสดิ์. 2549: 79)
ดังนั้น ผู้วิจัยมีความเห็นว่าการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ น่าจะเป็นวิธีการสอนอ่านที่จะช่วยปรับปรุงและพัฒนาความสามารถในการอ่านของผู้เรียนภาษาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เพราะเป็นวิธีที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและยังเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการตั้งคำถาม การจดบันทึก การเล่าถึงเรื่องที่อ่าน ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการเขียนสรุปใจความ นอกจากนั้นการทบทวนในสิ่งที่อ่านก็ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่รู้จักคิดอย่างมีวิจารณญาณ ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการใช้วิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนสรุปใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และเพื่อต้องการทราบว่าวิธีการนี้จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนสรุปใจความของนักเรียนได้มากน้อยเพียงใด
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสรุปใจความของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
สมมติฐานการวิจัย
1. นักเรียนมีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้นหลังจากได้รับการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
2. นักเรียนมีความสามารถในการเขียนสรุปใจความสูงขึ้นหลังได้รับการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
ขอบเขตของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้กำหนดขอบเขตไว้ ดังนี้คือ
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ขอบเขตประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
1.2 กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/13 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย จำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 34 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ขอบเขตของตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ
2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การสอนอ่านและการเขียนสรุปใจความแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
2.2.1 ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ
2.2.2 ความสามารถในการเขียนสรุปใจความ
3. เนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง
ในการทดลองครั้งนี้ผู้วิจัยได้คัดเลือกเนื้อหาบทอ่านมาจากหนังสือพิมพ์ บทความ วารสาร นิทานแบบเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้เพิ่มเติมภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่สอดคล้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
4. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
การทดลองครั้งนี้ใช้เวลาในการทดลองทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง รวม 6 สัปดาห์ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554
นิยามศัพท์เฉพาะ
การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดนิยามศัพท์เฉพาะไว้ ดังนี้
1. การสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ หมายถึง วิธีการสอนอ่านตำราที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ ขั้นสำรวจ โดยครูให้นักเรียนสำรวจเรื่องที่อ่านอย่างคร่าว ๆ ว่ามีหัวเรื่องหรือหัวข้อย่อยอะไรบ้าง ขั้นตั้งคำถาม ครูให้นักเรียนลองเปลี่ยนหัวเรื่องหรือหัวข้อย่อยเหล่านั้นให้เป็นคำถาม แล้วหาคำตอบในขั้นอ่าน โดยเลือกอ่านเนื้อหาที่เป็นคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้ เมื่ออ่านเนื้อหาแล้วครูสามารถแทรกการตั้งคำถามเข้าไปได้อีกเพื่อตรวจสอบความเข้าใจในการอ่านของนักเรียน ในขั้นบอกคำตอบอีกครั้งหลังจากการอ่านนั้น ให้นักเรียนใช้คำพูดของตนเองซึ่งให้ความหมายเดิมของเรื่องเอาไว้ ขั้นเขียน ให้นักเรียนเขียนสรุปใจความเรื่องที่อ่าน หลังจากที่อ่านจบแล้ว ให้นักเรียนทบทวนเนื้อหาทั้งหมดซึ่งหมายถึงคำถามและคำตอบโดยเล่าให้เพื่อนหรือครูฟังอีกครั้ง และนำบันทึกที่จดไว้มาทบทวนอีกสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง หรือก่อนสอบประกอบด้วยกิจกรรม 6 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1.1 ขั้นสำรวจ (Survey)
ผู้สอนให้นักเรียนสำรวจ เรื่องราวที่ได้อ่านอย่างคร่าว ๆ ได้แก่ การอ่านหัวเรื่อง หัวข้อย่อย บทคัดย่อ บทสรุป รวมถึงคำถามในเรื่อง เพื่อเป็นการมองภาพรวมของเรื่อง โดยวิธีการอ่านแบบกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว (Skimming)
1.2 ขั้นตั้งคำถาม (Question)
หลังจากที่ได้สำรวจบทอ่านแล้ว ผู้สอนถามคำถามที่เกี่ยวกับบทอ่านกับนักเรียนเพื่อฝึกการตอบคำถาม และให้นักเรียนลองเปลี่ยนหัวเรื่อง หรือหัวข้อย่อยให้เป็นคำถามเพื่อที่จะได้หาคำตอบในขั้นต่อไป
1.3 ขั้นอ่าน (Read)
ในขั้นนี้ นักเรียนจะได้อ่านรายละเอียดของบทอ่านเพื่อทำความเข้าใจ และตอบคำถามที่ตั้งไว้เนื่องจากนักเรียนได้ทำความเข้าใจกับบทอ่านแล้ว ผู้สอนสามารถแทรกการตั้งคำถามเข้าไปได้ แล้วให้นักเรียนช่วยกันตอบคำถามของครู ช่วยให้ได้ข้อมูลหรือรายละเอียดที่สำคัญครบถ้วนขึ้น นอกจากนั้นการตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบยังเป็นการช่วยฝึกนักเรียนในการตอบคำถาม เนื่องจากเราจะทดสอบเขาด้วยแบบทดสอบ
1.4 ขั้นบอกคำตอบอีกครั้ง (Recite)
เมื่อได้คำตอบแล้วนักเรียนต้องบอกคำตอบนั้นออกมาโดยใช้ภาษาของตนเอง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นและสามารถจำคำตอบนั้นได้ โดยคำตอบนั้นต้องคงความหมายเดิมของเรื่องเอาไว้
1.5 ขั้นเขียนสรุปใจความ (Write)
เมื่อบอกคำตอบแล้ว ให้นำมาเขียนสรุปใจความซึ่งประกอบด้วยใจความหลักและใจความรอง ซึ่งครอบคลุมความหมายเดิมของบทอ่านไว้ หลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ ๆ และใช้ประโยคที่แต่งขึ้นเองโดยมีความถูกต้องตามหลักภาษาและเครื่องหมายวรรคตอนอย่างถูกต้อง การเขียนสรุปใจความสามารถอยู่ในขั้นผลิตชิ้นงาน ของการดำเนินการสอนด้วยวิธี SQ4R เพราะเป็นผลมาจากการทำความเข้าใจในการอ่าน
1.6 ขั้นทบทวน (Review)
เมื่อเสร็จสิ้นทั้งห้าขั้นตอนแล้ว นักเรียนจึงทบทวนเรื่องที่อ่านทั้งหมด โดยเล่าคำถามที่ตั้งไว้และคำตอบของแต่ละข้อให้ครูหรือเพื่อนฟัง ในขั้นตอนนี้จะเป็นการตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน ว่าสามารถจดจำหรือเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้มากหรือน้อยแค่ไหนหากมีส่วนไหนที่ยังจำไม่ได้ ก็ให้ย้อนกลับไปอ่านซ้ำและทบทวนจนกว่าจะจำได้ ซึ่งการอ่านซ้ำ ๆ นี้จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจแนวความคิดได้ชัดเจนและมีความคงทนในการจำอีกด้วย
2. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ หมายถึง ความสามารถในการอ่านของนักเรียนในระดับแปลความ ตีความ ขยายความ จับใจความสำคัญและสรุปความ โดยวัดได้จากแบบทดสอบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
3. ความสามารถในการเขียนสรุปใจความ หมายถึง ความสามารถในการเขียนย่อเรื่องหรือข้อมูลที่ได้อ่าน โดยสามารถบอกถึง ใจความหลักและใจความรองซึ่งครอบคลุมความหมายเดิมเอาไว้ ไม่มีการกล่าวซ้ำ ๆ โดยใช้ประโยคที่แต่งขึ้นเองซึ่งมีความถูกต้องตามหลักภาษาและใช้เครื่องหมายวรรคตอนได้ถูกต้อง วัดได้จากแบบทดสอบความสามารถในการเขียนสรุปใจความที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
ประโยชน์ที่จะได้รับ
1. นักเรียนได้รับการพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษสูงขึ้นหลังจากได้รับการเรียนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์
2. เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอ่านภาษาอังกฤษ
3. เพื่อเป็นแนวทางแก่ครูผู้สนใจนำวิธีการสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ ไปใช้ในรายวิชาอื่น เช่น ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ สังคม และภาษาต่างประเทศอื่น ๆ
การเขียนมีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต ในสมัยโบราณมีผู้ให้ความสำคัญกับการเขียนโดยการจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ
เด็กไทยไม่ชอบอ่านภาษาอังกฤษ แม้แต่ภาษาไทยในศาสตร์สาขาวิชาอื่นเช่น วิทยาศาสตร์การอ่านก็อยู่ในเกณฑ์ต่ำดังที่กรมวิชาการ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544: 24, 49 อ้างใน สนธญา พลีดี, 2548 : 2-3) ได้สำรวจหนังสือที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาและนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชอบอ่าน พบว่ามีนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ชอบอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์เพียงร้อยละ 30.65 และมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่ชอบอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์เพียงร้อยละ 26.45 เท่านั้น
โคเฮน (Cohen, 1990: 105-107) ได้อธิบายว่าในการเขียนนั้น ผู้เขียนจะต้องเขียนเพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และข้อมูลต่าง ๆ ไปยังผู้อ่าน ผลงานที่ผลิตออกไปนั้นต้องอาศัยกระบวนการเขียนอย่างมีระบบตั้งแต่การร่างและมีการตรวจสอบงานเขียนจากเพื่อน หรือมีการประเมินผล โดยตนเองก่อนที่จะถึงครูผู้สอน ซึ่งการประเมินผลการเขียนจะทำให้เกิดความท้าทายในสิ่งที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ได้งานเขียนที่ดีที่สุดก่อนที่จะมีการถ่ายทอดงานเขียนออกไป
การอ่าน
การอ่านเป็นทักษะที่ช่วยพัฒนาความสามารถด้านการเขียนที่ดี การอ่านภาษาอังกฤษช่วยให้จดจำโครงสร้างประโยคทำให้เขียนได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ช่วยในการจดจำคำศัพท์และการสะกดคำได้ถูกต้อง นอกจากจะช่วยให้เกิดการพัฒนาความสามารถด้านการเขียนแล้วการอ่านนั้นยังช่วยให้เกิดการพัฒนาความสามารถด้านอื่น ๆ อีก เช่น เกิดความคิดสร้างสรรค์จินตนาการใหม่ ๆ ขึ้นมา เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ใหม่ เกิดการพัฒนาการด้านสมอง ช่วยส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดี สุขุมรอบคอบ มีเหตุผล รู้จักคิดไตร่ตรองจากสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน เช่นการเรียน การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคม มีความรับผิดชอบ เป็นต้น ฉะนั้น ผู้วิจัยเห็นว่า การเรียนภาษาอังกฤษนอกจากการให้ความสำคัญกับทักษะการฟัง การพูด แล้วควรให้ความสำคัญกับทักษะการอ่านและการเขียน โดยการส่งเสริมและปลูกฝังให้เด็กรักอ่านเมื่อเด็กเกิดความรักในการอ่าน แล้วเด็กจะรักการเขียนตามอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้ามาช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียน ผู้วิจัยเห็นว่าเทคนิคการสอนแบบ SQ4R จะเป็นเทคนิคการสอนที่สามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนได้ จึงมีความสนใจที่จะทดลองใช้เทคนิคการสอนแบบ SQ4R เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียน และจะทำให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการอ่านและการเขียน
การเขียน
ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาวิธีการสอนที่จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาการอ่านของนักเรียนให้มีความสามารถในการอ่านและการเขียนสรุปใจความสำคัญที่ได้จากการอ่าน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการอ่านดีขึ้นซึ่งวิธีการสอนแบบ SQ4R เป็นวิธีการอ่านที่มีขั้นตอนที่เป็นระบบชัดเจนทำให้ผู้เรียนสามารถอ่านอย่างมีจุดหมายไม่หลงทิศทาง และสามารถจับใจความสำคัญจาการอ่านได้ดี
สิ่งที่สะท้อนคุณภาพที่แท้จริงของการจัดการศึกษา คือคุณภาพผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตของกระบวนการจัดการศึกษาทั้งหมด (กระทรวงศึกษาธิการ 2551)
ผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในระดับนโยบายของประเทศ และเป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรียน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น