ทฤษฎีสัมพัทธภาพสรุปว่า เวลาไม่มีอยู่จริง และเวลาของคนแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยู่ตรงจุดใด และเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเท่าใด เวลาเป็นสิ่งที่ยือหดได้เหมือนยาวยืด (ทันตแพทย์สม สุจีรา, 2551: 69)
พระพุทธองค์ทรงค้นพบคุณสมบัติของแสงมาก่อน และทรงเตือนว่าอย่าหลงติดกับอภินิหารของแสง แสงเป็นส่วนหนึงของนิติต อภิญญา อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เป็นอุปสรรคต่อการหลุดพ้น (ทันตแพทย์สม สุจีรา, 2551: 58)
หลักกาลามสูตร คือ หลักในการพิจารณา 10 อย่าง ได้แก่
1. อย่าเพิ่งเชื่อถือด้วยการได้ยินได้ฟังตามกันมา
2. อย่าเพิ่งเชื่อถือด้วยการถือตามถ้อยคำสืบ ๆ กันมา
3. อย่าเพิ่งเชื่อถือด้วยการตื่นข่าวลือ
4. อย่างเพิ่งเชื่อถือด้วยการอ้างตำรา
5. อย่าเพิ่งเชื่อถือด้วยตรรกหรือเหตุผล
6. อย่าเพิ่งเชื่อถือด้วยการคาดคะเน
7. อย่างเพิ่งเชื่อถือด้วยการคิดตรองอาการที่ปรากฏ
8. อย่างเพิ่งเชื่อถือเพราะเข้ากับความเห็นของตน
9. อย่างเพิ่งเชื่อถือเพราะผู้พูดมีรูปลักษณะน่าเชื่อถือ
10. อย่างเพิ่งเชื่อถือเพราะเห็นว่าสมณะนี้หรือผู้นี้เป็นครูของเรา
ศาสนาพุทธไม่ต้องการให้มีความเชื่อใด ๆ โดยไม่ใช้ปัญญา เป็นศาสนาแห่งเหตุผล ศาสนาอื่น ๆ เกือบทั้งหมดสลล้วนแล้วให้คำตอบอย่างฟันธงแจ่มชัด และให้เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข เช่น เรื่องตายแล้วไม่สูญ แต่จะได้ไปสวรรค์หรือนรกอยู่ที่การตัดสินของพระเจ้า ซึ่งคำตอบที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายต้องการก็คือ คำตอบทำนองนี้ เมื่อพุทธสาสนาจัดให้ไม่ได้ก็รู้สึกไม่เข้าใจ และรู้สึกสับสนว่ากฎแห่งกรรมมีจริงหรือ
ศาสนาพุทธไม่ใช้ศาสนาแห่งศรัทธาและความเชื่อ แต่เป็นศาสนาแห่งปัญญาดังนั้นการที่พระทุทธองค์จะทรงตอบตามความเป็นจริงว่าตายแล้วเกิด แล้วให้เชื่อไปตามนั้น ตามศรัทธา ไม่ใช่ลักษณะของพุทธ ความเชื่อโดยไม่มีปัญญา ยิ่งเป็นกรงขังจิตให้หมกมุ่นวนเวียนอยู่แต่เรื่องนั้นโดยไม่เกิดปัญญาขึ้นมาได้เลย การห้ามไม่ให้เชื่อทุกอย่างตามที่ปรากฎตามหลักกาลามสูตรก็ครอบคลุมทั้งหมดแล้ว (ทันตแพทย์สม สุจีรา, 2551: 98)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น