วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทที่ 1 โครงสร้างสำคัญทางไวยากรณ์

ประโยค (Sentences)
          ประโยค (sentence) คือ กลุ่มคำที่มีความหมายสมบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วย ประธาน (subject) และ กริยา (verb) เป็นอย่างน้อย ถ้าเป็นกริยาต้องการกรรม ก็จะมีกรรมตามหลังกริยาตัวนั้นอีกทีหนึ่ง
          ประโยค แบ่งออก ตามความหมาย ได้ 4 ชนิด คือ
1.       ประโยคบอกเล่า (Declarative or Assertive) หมายถึง ประโยคที่ให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง แบบเล่าเรื่อง ไม่ต้องการคำตอบหรือปฏิกิริยาจากผู้ฟังหรือผู้อ่านในทันที
Examples :
            The girl likes to eat a cheese salad.
            Son Ton Pon was a writer.
            Big children often insist that they can do it by themselves.
            To work quickly and accurately is Tony's goal.
            Nobody wants to be alone.

2.       ประโยคคำถาม (Interrogative) หมายถึงประโยคที่ต้องการคำตอบจากผู้ฟังหรือผู้อ่านในทันที คำตอบที่ต้องการอาจจะแค่ ใช่ หรือ ไม่ใช่ หรืออาจต้องให้
Examples :
            How old am I?
            คำถามนี้ต้องการข้อมูลเป็นตัวเลข

            Is John interested in a girl?
            คำถามนี้ต้องการคำตอบ ใช่ หรือไม่ใช่

            Where have they gone away?
            คำถามนี้ต้องการคำตอบที่เป็นเหตุผล

            Where does the boy live?
            คำถามนี้ต้องการคำตอบที่เป็นสถานที่

            นอกจากรูปประโยคคำถามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีคำถามลักษณะพิเศษอีกแบบหนึ่งเรียกว่า Tag question ซึ่งมีโครงสร้าง ดังนี้
1)      ข้อความแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหัว (head) กับ ส่วนท้าย (tag) คั่นด้วยเครื่องหมาย ,
2)      ถ้าส่วนหัวเป็นข้อความแบบบอกเล่า ส่วนท้ายจะเป็นคำถามปฏิเสธ หรือถ้าส่วนหัวเป็นข้อความแบบปฏิเสธ ส่วนท้ายจะเป็นคำถามธรรมดา และส่วนท้ายมักจะใช้ pronoun เป็นประธาน
ถ้าส่วนหัวเป็นกริยาทั่วไป ส่วนท้ายที่เป็นคำถามจะใช้ v. to do ช่วย แต่ถ้าส่วนหัวเป็น v. to be หรือ v. to have เราจะใช้ v. to be หรือ v. to have เป็นกริยาในส่วนท้ายด้วย
            ลองสังเกตตัวอย่าง Tag question
            Mother runs slow, doesn’t she?
            Sarah never tells a lie, does she?
            He is obedient, isn’t he?
            I am too bad to be a bad boy, aren’t I?
            There are students in the class, aren’t there?
            There isn’t any disease in the water, is there?
            She hasn’t gone to the cinema, has she?

Note :   รูปปฏิเสธของ am คือ aren’t ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะภาษาไม่มีรูป amn’t สำหรับในโครงสร้าง expletive ส่วนท้ายจะใช้รูปบอกเล่า เช่น is there หรือปฏิเสธ isn’t there หรือในรูปของ tense อะไรก็แล้วแต่ส่วนหัว

3)      อาจใช้คำว่า right หรือ okay แทนส่วนท้ายที่เป็นปฏิเสธได้ เช่น
Tom came to work late this evening, right?
They go out with our tonight, okay?

            คำตอบสำหรับ Tag question มีข้อน่าสังเกตว่า ถ้าในส่วนหัวเป็นปฏิเสธ ก็แสดงว่าผู้ถามคาดหมายคำตอบว่าจะเป็น No แต่ถ้าส่วนหัวเป็นบอกเล่า คำตอบที่คาดหมายคือ Yes เช่น
       Question : Tim is afraid of insects, isn’t he?
       Answer :   Yes, he is.

       Question : You won’t  come late, will you?
       Answer :   No, you won’t.

3.    ประโยคคำสั่ง (Imperative) หมายถึงประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังมีปฏิกิริยาโต้ตอบในทันที ตามคำสั่งหรือคำขอร้องจากผู้พูด
Examples :
            Clean all the bedrooms today.
            Shoot the bird now.
            Tell me the way to Timmy’s school, please.
            Don’t be careless while running.

4.      ประโยคอุทาน (Exclamatory) หมายถึงประโยคที่พูดออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ระงับไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ ฯลฯ
Examples :
            Hush! Don’t make a noise.
            อุทานแสดงความรำคาญ หรือเชิงห้ามปราม

            Ouch, that hurt!
            อุทานแสดงความตกใจ

            Oh no, I forgot that the pencil was today.
            อุทานแสดงความเสียใจ หรือเสียดาย

            Hey! Put this up!
            อุทานแสดงความรำคาญ (หรือสนใจ ประหลาดใจ)

            You don’t know about me but, good lord, You think taxes are too low!
            อุทานแสดงความประหลาดใจ หรือโกรธ

            แบ่งประโยค ตามโครงสร้าง อาจแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
1.      ประโยคพื้นฐาน (Simple or Basic sentence) คือประโยคที่มีกริยาแท้ (finite verb) เพียงตัวเดียว หรือกล่าวได้ว่ามี clause เพียง clause เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็น main clause
Examples :
            Sue loves Tom.
            He hates her like a mosquito.
            Having paid money for the tickets, We entered the cinema.
            ทั้งสามนี้ มีกริยาแท้เพียงตัวเดียวคือ entered, hates และ loves

2.      ประโยคประสม (Compound sentence) คือประโยคที่มีประโยคหลัก (main clause) 2 ประโยคมารวมกัน โดยมีคำสันธานชนิด co-ordinating conjunction เช่น but, and, so, or เป็นตัวเชื่อม
Examples :
            The sun was dark and I couldn’t see my way.
            ประโยคนี้มีประโยคย่อยที่เป็น main clause 2 ประโยคคือ
            a.         The sun was dark.
            b.         I couldn’t see our way.
            ประโยคย่อยคู่นี้เชื่อมกันด้วย co-ordinating conjunction and

            Nancy falls in love with John, but he loves Sue.
            ประโยคนี้มี 2 main clause เชื่อมกันด้วย co-ordinating conjunction but

3.      ประโยคซับซ้อน (Complex sentence) คือประโยคที่ประกอบด้วยประโยคหลัก 1 ประโยค และ ประโยคเสริม 1 ประโยค โดยมีคำสันธานชนิด subordinating conjunction เช่น although, because, if, that, when (อยู่หน้าประโยคเสริม) เป็นตัวเชื่อมความ
Examples :
            The sky dark when the sun sets.
            ประโยคนี้ประกอบด้วยประโยคย่อย 2 ประโยคคือ
            a.         The sky dark.
            b.         The sun sets.
            ประโยคย่อย The sky dark. เป็นประโยคหลักเพราะมีความหมายสมบูรณ์ได้โดยลำพัง ส่วนที่สองคือ When the sun sets ไม่อาจจะอยู่ได้โดยลำพัง ต้องขึ้นอยู่กับประโยคหลัก ดังนั้นประโยคส่วนที่สองนี้จึงเป็นประโยคเสริม โดยมี subordinating conjunction when นำหน้า

ส่วนประกอบหลักของประโยค
            ประโยคประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ ประธาน (subject) และ แสดง (predicate)
            subject หมายถึงผู้กระทำหรือผู้แสดงเรื่องราวในประโยค ทำหน้าที่เป็นคำนาม ซึ่งอยู่หน้ากริยา
            ส่วน predicate หมายถึง เรื่องราวในประโยค ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์หรือสภาวะบางอย่างที่บอกเล่าถึงผู้แสดง โครงสร้างของ predicate อาจประกอบด้วยกริยาอย่างเดียว หรือ กริยา + กรรม (object) หรือ กริยา + complement
            กรรม (object) เป็นส่วนหนึ่งของ predicate  คือ คำนามหรือเทียบเท่า ซึ่งอยู่หลังกริยา object อาจถูกกริยา กระทำ ให้ เปลี่ยนสถานะ หมดไป ได้รับผลดี ได้รับผลร้าย ฯลฯ เช่น A dog eats a cat. กรรมคือ a cat ถูกกินหมดไป
             กรรม ยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
            กรรมตรง (Direct object) คือ คำนามที่รับผลของการกระทำโดยตรง
            กรรมรอง (Indirect object) คือ คำนามที่รับผลของการกระทำโดยอ้อม
            เพื่อความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น โปรดดูประโยคที่มีกรรมตรง กรรมรอง ต่อไปนี้

            Denny always gives Nancy a present.
          ในประโยค ให้ถามตัวเองดูว่า Denny ให้อะไร แก่ใคร คำตอบสำหรับคำถาม อะไร ก็คือ กรรมตรง ส่วนคำตอบสำหรับคำถาม แก่ใคร คือ กรรมรอง คุณรู้ใช่ไหม ว่า Denny ให้ของขวัญ (a present) แก่ Nancy ดังนั้น กรรมตรงคือ a present และกรรมรอง คือ Nancy
            นอกจาก v. to give แล้ว กริยาตัวอื่น ที่ต้องการกรรม 2 ตัว คือทั้งกรรมตรงและกรรมรอง ได้แก่ offer, promise, tell, buy, sell, ask, etc.
           
Examples :
            Jessy bought her son a story of ant book.
             Tim runs.
            Tim and his cat walk in the playground.
            Father John was amazed at the University of Miligan.
            Sarah has been ill since he returned.
           
Complements
          โดยทั่วไปถ้ามีคำนามตามหลังกริยา คำนามนั้นจะทำหน้าที่เป็นกรรม และเรียกกริยานั้นว่ากริยาต้องการกรรม แต่มีกริยาบางตัวที่สามารถมีคำนามตามหลังได้ โดยที่กริยาเหล่านั้นไม่ต้องการกรรม (intransitive verb) ได้แก่ v. to be และ linking verb บางตัว คำนามที่ตามหลังกริยา ไม่ได้ถูกกริยากระทำ แต่ทำหน้าที่เสริมความหมายของกริยาให้สมบูรณ์เรียกว่า complement นอกจากนามแล้ว adjective ก็สามารถทำหน้าที่เป็น complement ได้
            สามารถแบ่ง Complement ได้เป็น 2 ประเภท กล่าวคือ subject complement และ object complement
            Subject complement คือ complement ที่ตามหลัง v. to be และ linking verbs (smell, become, taste, look, appear, feel, seem, etc.) ทำหน้าที่ขยายประธานให้สมบูรณ์
Examples :
            Joan is the director’s husband.
            the director’s wife ทำหน้าที่ subject complement เป็นคำนามที่ขยายประธานคือ Joan

            Chocolate tastes sweet.
            sweet เป็น adjective ทำหน้าที่ subject complement ขยายประธานคือ chocolate

            Object complement คือ complement ที่เสริมความหมายของกรรมให้สมบูรณ์โดยใช้หลังกริยาบางตัวที่ต้องการกรรม และมีรูปแบบการใช้เป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ ถ้าอยู่หลัง active verb (กริยาบอกผู้กระทำ) complement จะตามหลังกรรม แต่ถ้าหลัง passive verb (กริยาบอกผู้กระทำ) complement ตามหลัง main verb
Examples :
            Thailand people elected John diamond.
          มีการใช้ active verb คือ elected  มีคำนาม president  เป็นตัวขยายกรรม (object complement) โดยตามหลังกรรมคือ John

            John was elected diamond.
            มีการใช้ passive verb คือ was elected  ตามด้วยคำนาม diamond  ซึ่งเป็น object complement ขยายกรรมคือ John

            People consider John clever.
            มีการใช้ active verb คือ consider  มี adjective คือ clever  เป็นขยายกรรม (object complement) โดยตามหลังกรรมคือ John

Note :
1.      ในประโยคทั่วไป ประธานจะมาก่อนการกระทำ
                        Nick always comes early.
                    Noi likes to walk around the circle.

2.       ในประโยคคำถาม กริยาจะมาก่อนประธาน ถ้าเป็นกริยาทั่วไปจะใช้ v. to do ช่วย แต่ถ้าเป็น v. to be, v. to have และกริยาช่วย ให้ใช้นำหน้าประธานเพื่อสร้างประโยคคำถามเลย
                        Did John feel happy?
                        v. to feel เป็นกริยาทั่วไป ให้ใช้ v. to do ช่วย

                        Was she interested in dolphins?
                        was อยู่ในรูป past ของ v. to be ให้ใช้นำหน้าประธานเลย ไม่ใช้ v. to do ช่วย

                        Has Bill finished the assignment in time?
                        has ใช้นำหน้าประธาน Bill เพื่อสร้างคำถามได้เลย กริยาประโยคนี้อยู่ใน present perfect tense

                        Where will she meet me?
                        กริยาช่วย will อยู่หน้าประธาน she  ในคำถามแบบต้องการรายละเอียด

3.       ประโยคคำสั่ง มีแต่การกระทำ ไม่มีประธาน you ปรากฏ เนื่องจากเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว
                        Turn left and walk to the corner.
                        เดินซ้ายและเดินไปที่มุม

                        Watch out ! (ระวังด้วย)

                        ไม่มี you ปรากฏ

อ้างอิงจาก : หนังสือทีเด็ดพิชิต GRAMMAR

1 ความคิดเห็น: