ประโยค (Sentences)
ประโยค (sentence)
คือ กลุ่มคำที่มีความหมายสมบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วย ประธาน (subject)
และ กริยา (verb) เป็นอย่างน้อย
ถ้าเป็นกริยาต้องการกรรม ก็จะมีกรรมตามหลังกริยาตัวนั้นอีกทีหนึ่ง
1.
ประโยคบอกเล่า (Declarative
or Assertive) หมายถึง ประโยคที่ให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง แบบเล่าเรื่อง
ไม่ต้องการคำตอบหรือปฏิกิริยาจากผู้ฟังหรือผู้อ่านในทันที
Examples :
The girl
likes to eat a cheese salad.
Son
Ton Pon was a writer.
Big
children often insist that they can do it by themselves.
To
work quickly and accurately is Tony's goal.
Nobody
wants to be alone.
2.
ประโยคคำถาม (Interrogative)
หมายถึงประโยคที่ต้องการคำตอบจากผู้ฟังหรือผู้อ่านในทันที คำตอบที่ต้องการอาจจะแค่ ใช่ หรือ ไม่ใช่ หรืออาจต้องให้
Examples :
How
old am I?
คำถามนี้ต้องการข้อมูลเป็นตัวเลข
Is
John interested in a girl?
คำถามนี้ต้องการคำตอบ ใช่ หรือไม่ใช่
Where
have they gone away?
คำถามนี้ต้องการคำตอบที่เป็นเหตุผล
Where
does the boy live?
คำถามนี้ต้องการคำตอบที่เป็นสถานที่
นอกจากรูปประโยคคำถามที่กล่าวมาแล้ว
ยังมีคำถามลักษณะพิเศษอีกแบบหนึ่งเรียกว่า Tag
question ซึ่งมีโครงสร้าง ดังนี้
1)
ข้อความแบ่งออกเป็น
2 ส่วน คือ ส่วนหัว (head) กับ ส่วนท้าย (tag) คั่นด้วยเครื่องหมาย ,
2)
ถ้าส่วนหัวเป็นข้อความแบบบอกเล่า
ส่วนท้ายจะเป็นคำถามปฏิเสธ หรือถ้าส่วนหัวเป็นข้อความแบบปฏิเสธ ส่วนท้ายจะเป็นคำถามธรรมดา
และส่วนท้ายมักจะใช้ pronoun เป็นประธาน
ถ้าส่วนหัวเป็นกริยาทั่วไป
ส่วนท้ายที่เป็นคำถามจะใช้ v. to do ช่วย
แต่ถ้าส่วนหัวเป็น v. to be หรือ v. to have เราจะใช้ v. to be หรือ v. to have เป็นกริยาในส่วนท้ายด้วย
ลองสังเกตตัวอย่าง Tag
question
Mother runs slow, doesn’t she?
Sarah never tells a lie, does she?
He is obedient, isn’t he?
I am too bad to be a bad boy, aren’t
I?
There are students in the class, aren’t
there?
There isn’t any disease in the
water, is there?
She hasn’t gone to the cinema, has she?
Note
: รูปปฏิเสธของ am คือ aren’t ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะภาษาไม่มีรูป amn’t
สำหรับในโครงสร้าง expletive ส่วนท้ายจะใช้รูปบอกเล่า
เช่น is there หรือปฏิเสธ isn’t there หรือในรูปของ
tense อะไรก็แล้วแต่ส่วนหัว
3)
อาจใช้คำว่า
right หรือ okay แทนส่วนท้ายที่เป็นปฏิเสธได้
เช่น
Tom
came to work late this evening, right?
They
go out with our tonight, okay?
คำตอบสำหรับ Tag
question มีข้อน่าสังเกตว่า ถ้าในส่วนหัวเป็นปฏิเสธ
ก็แสดงว่าผู้ถามคาดหมายคำตอบว่าจะเป็น No แต่ถ้าส่วนหัวเป็นบอกเล่า
คำตอบที่คาดหมายคือ Yes เช่น
Question
: Tim is afraid of insects, isn’t
he?
Answer : Yes,
he is.
Question : You won’t come late,
will you?
Answer : No,
you won’t.
3.
ประโยคคำสั่ง (Imperative) หมายถึงประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังมีปฏิกิริยาโต้ตอบในทันที
ตามคำสั่งหรือคำขอร้องจากผู้พูด
Examples
:
Clean all the bedrooms today.
Shoot the bird now.
Tell me the way to Timmy’s school,
please.
Don’t be careless while running.
4.
ประโยคอุทาน
(Exclamatory) หมายถึงประโยคที่พูดออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
ระงับไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ ฯลฯ
Examples
:
Hush! Don’t make a noise.
อุทานแสดงความรำคาญ
หรือเชิงห้ามปราม
Ouch,
that hurt!
อุทานแสดงความตกใจ
Oh
no, I forgot that the pencil was today.
อุทานแสดงความเสียใจ
หรือเสียดาย
Hey!
Put this up!
อุทานแสดงความรำคาญ
(หรือสนใจ ประหลาดใจ)
You
don’t know about me but, good lord, You think taxes are too low!
อุทานแสดงความประหลาดใจ
หรือโกรธ
แบ่งประโยค ตามโครงสร้าง อาจแบ่งได้
3 ประเภท คือ
1.
ประโยคพื้นฐาน
(Simple or Basic sentence) คือประโยคที่มีกริยาแท้
(finite verb) เพียงตัวเดียว หรือกล่าวได้ว่ามี clause
เพียง clause เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็น main
clause
Examples
:
Sue loves Tom.
He hates her like a mosquito.
Having paid money for the tickets,
We entered the cinema.
ทั้งสามนี้
มีกริยาแท้เพียงตัวเดียวคือ entered, hates และ loves
2.
ประโยคประสม
(Compound sentence) คือประโยคที่มีประโยคหลัก
(main clause) 2 ประโยคมารวมกัน โดยมีคำสันธานชนิด co-ordinating
conjunction เช่น but, and, so, or เป็นตัวเชื่อม
Examples
:
The sun was dark and I couldn’t
see my way.
ประโยคนี้มีประโยคย่อยที่เป็น
main clause 2 ประโยคคือ
a. The
sun was dark.
b. I
couldn’t see our way.
ประโยคย่อยคู่นี้เชื่อมกันด้วย
co-ordinating conjunction and
Nancy falls in love with John, but
he loves Sue.
ประโยคนี้มี 2
main clause เชื่อมกันด้วย co-ordinating conjunction but
3.
ประโยคซับซ้อน
(Complex sentence) คือประโยคที่ประกอบด้วยประโยคหลัก
1 ประโยค และ ประโยคเสริม 1 ประโยค
โดยมีคำสันธานชนิด subordinating conjunction เช่น although,
because, if, that, when (อยู่หน้าประโยคเสริม) เป็นตัวเชื่อมความ
Examples
:
The sky dark when the sun sets.
ประโยคนี้ประกอบด้วยประโยคย่อย
2 ประโยคคือ
a. The sky dark.
b. The
sun sets.
ประโยคย่อย The
sky dark. เป็นประโยคหลักเพราะมีความหมายสมบูรณ์ได้โดยลำพัง
ส่วนที่สองคือ When the sun sets ไม่อาจจะอยู่ได้โดยลำพัง ต้องขึ้นอยู่กับประโยคหลัก
ดังนั้นประโยคส่วนที่สองนี้จึงเป็นประโยคเสริม โดยมี subordinating
conjunction when นำหน้า
ส่วนประกอบหลักของประโยค
ประโยคประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2
ส่วน คือ ประธาน (subject) และ แสดง
(predicate)
subject
หมายถึงผู้กระทำหรือผู้แสดงเรื่องราวในประโยค ทำหน้าที่เป็นคำนาม
ซึ่งอยู่หน้ากริยา
ส่วน predicate
หมายถึง เรื่องราวในประโยค
ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์หรือสภาวะบางอย่างที่บอกเล่าถึงผู้แสดง โครงสร้างของ predicate
อาจประกอบด้วยกริยาอย่างเดียว หรือ กริยา + กรรม
(object) หรือ กริยา + complement
กรรม (object) เป็นส่วนหนึ่งของ predicate คือ คำนามหรือเทียบเท่า
ซึ่งอยู่หลังกริยา object อาจถูกกริยา กระทำ ให้ เปลี่ยนสถานะ
หมดไป ได้รับผลดี ได้รับผลร้าย ฯลฯ เช่น A dog eats a cat. กรรมคือ
a cat ถูกกินหมดไป
กรรม ยังแบ่งออกเป็น 2
ชนิด คือ
กรรมตรง (Direct
object) คือ คำนามที่รับผลของการกระทำโดยตรง
กรรมรอง (Indirect
object) คือ คำนามที่รับผลของการกระทำโดยอ้อม
เพื่อความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
โปรดดูประโยคที่มีกรรมตรง – กรรมรอง ต่อไปนี้
Denny
always gives Nancy a present.
ในประโยค
ให้ถามตัวเองดูว่า Denny ให้อะไร แก่ใคร คำตอบสำหรับคำถาม อะไร
ก็คือ กรรมตรง ส่วนคำตอบสำหรับคำถาม แก่ใคร คือ กรรมรอง คุณรู้ใช่ไหม ว่า Denny
ให้ของขวัญ (a present) แก่ Nancy
ดังนั้น กรรมตรงคือ a present และกรรมรอง
คือ Nancy
นอกจาก v. to give
แล้ว กริยาตัวอื่น ที่ต้องการกรรม 2 ตัว
คือทั้งกรรมตรงและกรรมรอง ได้แก่ offer, promise, tell, buy, sell, ask,
etc.
Examples
:
Jessy
bought her son a story of ant book.
Tim runs.
Tim and his cat walk in the playground.
Father John was amazed at the
University of Miligan.
Sarah has been ill since he
returned.
Complements
โดยทั่วไปถ้ามีคำนามตามหลังกริยา
คำนามนั้นจะทำหน้าที่เป็นกรรม และเรียกกริยานั้นว่ากริยาต้องการกรรม แต่มีกริยาบางตัวที่สามารถมีคำนามตามหลังได้
โดยที่กริยาเหล่านั้นไม่ต้องการกรรม (intransitive
verb) ได้แก่ v. to be และ linking
verb บางตัว คำนามที่ตามหลังกริยา ไม่ได้ถูกกริยากระทำ แต่ทำหน้าที่เสริมความหมายของกริยาให้สมบูรณ์เรียกว่า
complement นอกจากนามแล้ว adjective ก็สามารถทำหน้าที่เป็น complement ได้
สามารถแบ่ง Complement
ได้เป็น 2 ประเภท กล่าวคือ subject
complement และ object complement
Subject complement คือ complement ที่ตามหลัง v. to be และ linking verbs (smell, become, taste, look, appear, feel, seem,
etc.) ทำหน้าที่ขยายประธานให้สมบูรณ์
Examples
:
Joan is the director’s husband.
the director’s wife ทำหน้าที่
subject complement เป็นคำนามที่ขยายประธานคือ Joan
Chocolate tastes sweet.
sweet เป็น adjective
ทำหน้าที่ subject complement ขยายประธานคือ chocolate
Object complement คือ complement ที่เสริมความหมายของกรรมให้สมบูรณ์โดยใช้หลังกริยาบางตัวที่ต้องการกรรม
และมีรูปแบบการใช้เป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ ถ้าอยู่หลัง active
verb (กริยาบอกผู้กระทำ) complement จะตามหลังกรรม
แต่ถ้าหลัง passive verb (กริยาบอกผู้กระทำ) complement
ตามหลัง main verb
Examples
:
Thailand people elected John diamond.
มีการใช้
active verb คือ elected มีคำนาม president เป็นตัวขยายกรรม (object
complement) โดยตามหลังกรรมคือ John
John was elected diamond.
มีการใช้ passive
verb คือ was elected
ตามด้วยคำนาม diamond ซึ่งเป็น object
complement ขยายกรรมคือ John
People consider John clever.
มีการใช้ active
verb คือ consider มี adjective คือ clever
เป็นขยายกรรม (object
complement) โดยตามหลังกรรมคือ John
Note
:
1.
ในประโยคทั่วไป
ประธานจะมาก่อนการกระทำ
Nick
always comes early.
Noi
likes to walk around the circle.
2.
ในประโยคคำถาม
กริยาจะมาก่อนประธาน ถ้าเป็นกริยาทั่วไปจะใช้ v.
to do ช่วย แต่ถ้าเป็น v. to be, v. to have และกริยาช่วย
ให้ใช้นำหน้าประธานเพื่อสร้างประโยคคำถามเลย
Did John feel happy?
v. to feel เป็นกริยาทั่วไป ให้ใช้ v. to do ช่วย
Was
she interested in dolphins?
was อยู่ในรูป
past ของ v. to be ให้ใช้นำหน้าประธานเลย
ไม่ใช้ v. to do ช่วย
Has
Bill finished the assignment in time?
has ใช้นำหน้าประธาน
Bill เพื่อสร้างคำถามได้เลย กริยาประโยคนี้อยู่ใน present
perfect tense
Where will she meet me?
กริยาช่วย will
อยู่หน้าประธาน she ในคำถามแบบต้องการรายละเอียด
3.
ประโยคคำสั่ง
มีแต่การกระทำ ไม่มีประธาน you ปรากฏ เนื่องจากเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว
Turn
left and walk to the corner.
เดินซ้ายและเดินไปที่มุม
Watch
out ! (ระวังด้วย)
ไม่มี you
ปรากฏ
ion titanium hair color - Titanium Art
ตอบลบThis titanium belt buckle green, blue and yellow color combination is micro touch trimmer the perfect way to titanium vs tungsten create a unique look for babyliss nano titanium men with a distinct look for men with microtouch titanium a